เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ มิ.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เห็นไหม เวลาเราพูดปกติ รถปกติ รถดี คนขับดี จะไปได้ดี รถไม่ดี คนขับไม่ดี ยังไงก็ไม่ดี แต่ในปัจจุบันเราดีทั้ง ๒ ฝ่าย ร่างกายเราก็แข็งแรง จิตใจเราก็แข็งแรง ทำไมเราไม่ปฏิบัติของเรา ถ้าปฏิบัติของเรา การประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ดูสิ กฎจราจร ถ้าเรามีความเร่งด่วน เรามีความจำเป็น เราจะลัด เราจะรีบไปของเรา

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ เราก็อยากได้อยากดีของเรา แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง เห็นไหม เราจะไปทางใกล้ทางไกลแค่ไหนก็แล้วแต่ ใจจะรีบจะร้อน จะด่วนขนาดไหนก็แล้วแต่ เราก็ไปตามระยะทางนั้น ระยะทางนั้นมันให้ผลงานของเราว่าระยะทางได้เท่านี้ ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เราทำของเรา เราเร่งความเพียรของเรา แต่ผลคือระยะทางที่มันจะได้ เรื่องของผลงานอันนั้น เพราะว่าคนเราอำนาจวาสนาไม่เหมือนกัน

ดูสิ รถยนต์ รถที่มันวิ่งบนท้องถนน กำลังแรงก็มี กำลังปานกลางก็มี กำลังอ่อนก็มี อยู่ที่กำลังรถของใคร เห็นไหม ถ้ากำลังรถของใคร มันก็ไปได้ด้วยกำลังรถอันนั้น นี้การประพฤติปฏิบัติอยู่ที่วาสนาของเรา ถ้าวาสนาของเรามีกำลังมากขนาดไหน มันก็ได้แต่กำลังของเราขนาดนั้น แต่กำลังมากกำลังน้อยขนาดไหนก็บนถนนเดียวกัน เห็นไหม มันต้องไปถึงที่สุด ถึงเป้าหมายเหมือนกัน

ถ้าถึงเป้าหมายนะ แต่เราไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจสิ เวลาน้อยเนื้อต่ำใจว่าเราจะไปไม่ได้เหมือนเขา เวลาฟังตอบปัญหาเห็นไหม คนนั้นตอบปัญหาทำไมเขาทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้ เราทำได้ของเราประสาของเรา เขาทำประสาของเขา ก็รถของเขา กำลังเครื่องของเขา กำลังของเขาจะแรง กำลังของเขาจะเบาขนาดไหนมันก็กำลังเครื่องของเขา

นี่ก็เหมือนกัน กำลังของเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำคัญตรงนี้นะ ตรงที่ว่าให้ย้อนมาดูที่เรา สรรพสิ่งนี้มีเพราะมีเรา โลกนี่มีเพราะมีเรา สมบัติมีเพราะมีเรา โกรธก็เพราะมีเรา มีดีใจก็เพราะมีเรา เพราะมีตัวเราทั้งนั้น ตัวความสุขความทุกข์มันอยู่ที่ใจของเรา สังคมเป็นสังคมนะ สังคมอื่นเขาก็เรียกคำว่าโลกไง โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือสังคมสัตว์ สัตว์สังคม เราเป็นสัตว์สังคม เราอยู่ในสังคม นี่คือสังคม

แต่เวลาจิตของเรา เกิดตายๆ นี่สังคมวัฏฏะของเรา มันยิ่งซับซ้อนในหัวใจของเรา สังคมของเรา สังคมในใจเรา ธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือใจดวงนี้ ถ้าเหนือใจดวงนี้นะ เหนือทุกๆ อย่างเลย เพราะอะไร? เพราะโลกนี้ก็มีเก้อๆ เขินๆ อยู่อย่างนั้น ของเขาไม่ใช่เขาไม่มีนะ เขาก็มีของเขาอย่างนั้นใช่ไหม สมบัติก็เป็นอย่างนั้น ทุกอย่างก็เป็นของเขาอยู่อย่างนั้น เราก็ดูแลรักษาไปอย่างนั้น

เราดูแลรักษาไป นี่เป็นเรื่องของโลกๆ เพราะอะไร? เพราะเป็นอนิจจัง เราควบคุมมันไม่ได้หรอก มันอาศัยได้ชั่วคราว เพราะถ้าเราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา เราใช้สอยไป มันก็หมดไปอย่างนั้น ถึงเวลาเราก็ต้องตายจากเขาไป เราตายจากเขาไปแต่ธรรมมันไม่ตายจากเราไปสิ เพราะธรรมมันอยู่กับใจของเราเห็นไหม ถ้ามันอยู่กับเรา ใจนี่เวลาตายใจมันไปด้วย บุญกุศลบาปกุศลมันไปกับใจเราด้วย เห็นไหม ธรรมเหนือโลกมันอยู่ตรงนี้ไง

เราถึงต้องฝืนต้องทน ฝืนทนของเรานะ เวลาประพฤติปฏิบัติ ดูสิ คนถ้ามาจากโลกๆ นะ พอเข้าไปในวัดเขาจะแปลกใจเลย เขาไปอยู่กันทำไมน่ะ ในวัดไปทำไม ไปทรมานตนทำไม เราก็เป็นคนที่ดีแล้ว เราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบแล้ว ทำไมเราไปต้องทรมานตน เขามองได้แค่โลกไง รู้แค่สงบนิ่งอยู่ นั่นคือเรื่องของโลกๆ

ดูสิ เวลาพายุพัดมารุนแรงมาก ทำลายทุกอย่างในโลกนี้ราบเป็นหน้ากลองเลย แล้วเวลาพายุสงบมันไปไหน พายุสงบก็ไม่เห็นมีอะไรเลย นี่ก็เหมือนกัน มันก็ว่าเขาก็ดีอยู่แล้ว เราก็เป็นคนที่ปกติอยู่แล้ว เราก็คนดีอยู่แล้ว มันก็เหมือนพายุมันสงบไง แล้วเดี๋ยวพายุมันก็เกิดอีก มันเป็นอนิจจัง โลกเป็นอย่างนั้น

แต่เราประพฤติปฏิบัติ เราจะแบบว่าไม่ให้มันเกิดอีกเลย เราจะต้องใช้ความเข้มแข็งของเรา เข้มแข็งนะ ถ้าเรามีความเข้มแข็ง มีความจงใจ สติตั้งมั่น ฐานลงที่นี่ สรรพสิ่งทุกอย่าง จรวดหรือเครื่องบินต่างๆ ต้องออกไปจากฐาน ความคิดนี่ออกไปจากฐาน ฐานนี่คือภวาสวะ อนุสัยนอนเนื่องมากับใจ ไม่เห็นใช่ไหม ปกติมันก็ไม่มี แล้วเวลาคิดคิดมาจากไหน เวลาทุกข์ทุกข์มาจากไหน เวลาความทุกข์นี่มันมาจากไหน เวลาความทุกข์มันมาจากฐานตัวนี้ ฐานคือภวาสวะนี่ ฉะนั้นไม่ใช่ความคิดเลยนะ

ถ้าความคิดนี่ เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้อยู่ที่ไหน จิตเดิมแท้ฐานตัวนี้ไง แล้วฐานตัวนี้ เพราะว่าปกติเราก็เป็นคนดีแล้ว เราก็ไม่เห็นทำอะไรเลย ทำไมจะต้องไปวัด เราต้องไปศึกษาทำไม เราไปค้นคว้าทำไม เวลามาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ทำไมต้องทรมานตน ทรมานนะ เพราะทรมานกิเลสไง

เพราะถ้าไม่ทรมานตนนะ มันก็เหมือนกับที่ว่านี่ เราดีอยู่แล้ว เราปกติอยู่แล้ว จิตเราสงบอยู่แล้ว จิตเราไม่ได้คิดอะไรเลย เราเป็นคนดีอยู่แล้ว แล้วเดี๋ยวคนดีอยู่แล้วทำไมมันคิดล่ะ คนดีอยู่แล้วเดี๋ยวมันก็ทุกข์ขึ้นมาล่ะ คือมันไม่จบสิ้นไง เรื่องโลกๆ มันไม่จบสิ้นหรอก มันเป็นอย่างนี้ เราถึงต้องเกิดตายๆ ดูสิ จะมีมนุษย์เกิดใหม่ จะมีมนุษย์พลัดพรากไป จะมีสิ่งต่างๆ นี้ตลอดไป สิ่งนี้ตลอดไปเพราะอะไร? เพราะมันเป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอย่างนี้

แล้วเราเกิดมาอยู่ในโลก ท่ามกลางอนิจจังนะ เพราะเราเกิดมาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วเราก็เติบโตมา แล้วเราก็ต้องพลัดพรากสิ่งนี้ไป พลัดพรากนี่มันเป็นสิ่งที่เครื่องอาศัยจากภายนอก แต่เรื่องของใจล่ะ เรื่องของบุญกุศลของเรา เราต้องตักตวงของเรา ตักตวงนะ ใครตักตวงใครได้ มันมองทางโลกไง ได้อะไร สละออกไปจากมือนี่ เห็นแต่ว่าหลุดมือไปทั้งนั้นเลย ไม่เห็นเคยได้อะไรเลย

หลุดมือออกไปมันเป็นสื่อ สื่อการแสดงออกของน้ำใจ ถ้าเราไม่มีการสละออกไป ไม่มีทานออกไปเลย แล้วมันจะได้อะไรกลับมาล่ะ แล้วหัวใจมันสละออกไป ใครเป็นคนรู้ จิตใจนี้มันรู้ จิตใจนี้มันจะซับไป ที่ว่าเป็นธรรมๆ ที่บุญกุศลมันไปกับใจดวงนี้ สิ่งที่เราเสียสละออกไป ตักตวงๆ อย่างนี้

ถ้าตักตวงแบบโลก ตักตวงเอาเข้ามาไง เราจะแสวงหาเข้ามาเป็นสมบัติของเรา ยิ่งกอดไว้ขนาดไหนยิ่งเป็นทุกข์ขนาดนั้น เพราะอะไร? เพราะมันต้องรักษา ต้องดูแลบริหารจัดการต่างๆ เลยนะ แต่ถ้าเราสละออกไปนะ สบายอกสบายใจมากเลย ถ้าสละโดยคุณธรรมนะ ไม่ได้สละโดยตระหนี่ถี่เหนียว สละโดยอย่างที่โดนลักขโมยเราไม่ต้องการ แต่เขาฉกฉวยไป สิ่งนี้เป็นทุกข์นะ เราสงวนรักษาจะเป็นจะตาย แล้วเขาฉกฉวยไป มันมีความเศร้าหมองมาก

แต่ถ้ามันพอใจสละ มันพอใจ มันมีความสุข เสียสละออกไปมันกลับมีความสุข มันกลับโล่ง กลับสบายใจ กลับไม่ต้องไปแบกหามมันอีกเลย เห็นไหม เรื่องของคุณธรรมเป็นอย่างนี้ เรื่องของคุณธรรมเรื่องของหัวใจมันเป็นอย่างนี้ การเสียสละเห็นไหม ถ้ามันรู้จักเสียสละ เสียสละจนเคยชิน เหมือนสวดมนต์เลย เราทำวัตรสวดมนต์ ถ้าวันไหนไม่ได้ทำเหมือนขาดอะไรไป

แต่ถ้าเราทำ นิสัยได้อย่างนี้ นิสัยทำจนได้จริตได้นิสัยมา นี้เราก็เสียสละจนเคยชินออกมานี่ จิตมันก็เริ่มมีหลักมีเกณฑ์ของมัน แล้วเรามาประพฤติปฏิบัติ กินอิ่มนอนอุ่น พยายามสะสมขึ้นมานี่ กิเลสตัวใหญ่มากเลย อดนอนผ่อนอาหาร เห็นไหม ที่ว่าทรมานตนๆ ไม่ใช่! ทรมานกิเลสต่างหาก ทรมานกิเลสที่อยู่ในหัวใจของเรานี่ เพราะใจนี้มันไม่เคยตาย แต่กิเลสนี้มันตายได้

กิเลสอาศัย เห็นไหม กาฝาก ดูต้นไม้สิ ต้นไม้นี่แข็งแรงนะ กาฝากมันยิ่งอิ่มหนำสำราญ กาฝากนี่แหม...เขียวชอุ่มเลย ถ้าต้นไม้แห้งตาย กาฝากมันเกาะไหม กาฝากมันไม่เกาะต้นไม้ตายนะ เพราะมันไม่มีอาหารกินของมัน กิเลสก็เหมือนกัน มันเกาะอยู่ที่ใจ มันก็กินอยู่กับใจนี่ อู้ฮู! ยิ่งใจมีกิเลสมากมันยิ่งอิ่มหนำสำราญ เห็นไหม เราไปทรมานมัน เราทรมาน เราไม่ให้มันกิน เราพยายามสละออก มันต้องการขนาดไหน อดนอนผ่อนอาหารเป็นอย่างนี้

อดนอนผ่อนอาหารคือทรมานกาฝาก ไม่ได้ทรมานใจ เพราะกาฝากมันเกาะอยู่ที่ใจ แล้วกาฝากมันอาศัยดูดดื่มกินอาหารจากใจนี่ แล้วมันกินอยู่ทุกวันๆ แล้วเราก็ไปส่งเสริมมัน อาหารยกให้มัน เห็นไหม สิ่งนี้อาหารให้มีมาก กาฝากมันยิ่งเกาะใจ มันยิ่งเคยใจ ยิ่งไปใหญ่เลย เห็นไหม ไม่ได้ทรมานตน เป็นการทรมานกิเลส

ถ้ามันเข้าใจ แล้วมันทำแล้วได้ผล ใช่! ถ้าไม่ทรมานตน ทำไมหิวล่ะ เวลาอดนอนผ่อนอาหาร ง่วงนอนน่าดูเลย ใช่ ง่วงนอน การง่วงนอนก็ง่วงนอนเพื่อจะทรมานมัน กาฝากมันติดอยู่ เราจะเลาะกาฝากออก มันก็ต้องสะเทือนถึงต้นไม้ด้วย นี่ก็เหมือนกัน เราจะเลาะกิเลสออก มันก็ต้องสะเทือนถึงใจด้วย ถ้าสะเทือนถึงใจด้วย เราเห็นประโยชน์ของมัน ต้องเห็นโทษนะ เห็นโทษของกาฝาก เห็นโทษของกิเลส แล้วเห็นคุณ เห็นคุณของการกระทำของเรา เห็นไหม มันถึงพอใจจะทำ

แล้วทำไปแล้ว ถ้าเราทำไป ดูสิ เวลากาฝากมันติดอยู่ เราจะแกะออกมา มันมีรากมีอะไรเข้าไปในต้นไม้ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน จะทำอะไรก็เป็นอย่างนั้น เวลาอดนอนไป ง่วงเนาะ โอ๋ย..แย่มากเลยนะ ทำอะไรไม่ได้ เห็นไหม เราจะแกะกาฝากออก แต่มันไปสะเทือนหัวใจ มันทำให้อ่อนอกอ่อนใจ

แต่ถ้าเราทำของเราไป มันเป็นเรื่องธรรมดา การขาดอาหาร การบกพร่อง เรื่องการขาดแคลน มันเป็นเรื่องของการบกพร่อง มันทุกข์อยู่แล้ว การเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนา มันก็เรื่องของทุกข์อย่างนั้นน่ะ ทุกข์นี้เพื่ออะไร? ทุกข์นี้เพื่อจะความสุขไง ทุกข์อันนี้ทุกข์เพื่อจะจบสิ้นกัน กับทุกข์เพื่อทุกข์นะ ร้องห่มร้องไห้ พลัดพรากเสียใจกัน ร้องไห้น้ำตาท่วมจอเลยนะ ร้องไห้แล้วร้องไห้อีก ก็ยังกลับมาร้องไห้อีก มันไม่จบเห็นไหม

แต่ถ้ามันทุกข์อย่างนี้มันจบนะ มันจบคือว่าเราเข้าใจมัน เราจะไม่ให้มันมาหลอกเราอีกเลย สิ่งที่ไม่มาหลอกเราอีกเลย เราก็จะตั้งสติของเราได้ สิ่งใดเกิดขึ้นมาในกระแสโลก ดูสิ คนมีจุดยืน คนมีคุณธรรม ในนวโกวาท เห็นไหม “เสียงขับร้องที่ไหนไปที่นั่น ที่ไหนมีมหรสพไปที่นั่น” แล้วถ้าเกิดเราไม่ไปกับเขาล่ะ มหรสพมีขนาดไหนเราก็ไม่ไปกับเขา อบายมุข! อบายมุขมันก็เป็นกาฝากอันหนึ่ง แล้วเราไปติดข้องกับมัน ให้อบายมุขเกาะขึ้นมา มันเป็นอาหารของกาฝาก กาฝากก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาในหัวใจของเรา เห็นไหม

เวลาเสียงมหรสพที่ไหน เราไม่ไปที่นั่น เราฝืน เห็นไหม ฝืนเหมือนกัน ฝืนทั้งนั้นนะ เราชักฟืนออกจากไฟ ไฟนั้นจะดับ ถ้าเราพยายามเติมฟืนเติมไฟเข้าไป เพื่อจะให้มันอิ่มพอ เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม ถ้ามันมีทางออกทางอื่น ทางที่เป็นไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เราทำอย่างนี้หรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรมานตนมา ๖ ปีนะ ทรมานนะ ทรมานกิเลส ทรมานกาฝาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่มีวิธีทางออก ทรมานอย่างนี้ ทรมานผิดทรมานถูกมา ๖ ปี ที่ไหนเขาทำกันเคร่งครัดไป แล้วมันไม่เป็นประโยชน์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

แล้วพอมาเจอทางตรง เจอทางที่ถูกต้อง เห็นไหม ชักฟืนออกๆ อดนอนผ่อนอาหาร ผ่อนอาหาร อดอาหาร ตอนนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อดเฉยๆ อดแบบที่แอฟริกาเขาอดกัน ที่เขาไม่มีจะกิน เขาอดเฉยๆ เขาอดเพราะเขาไม่มีจะกิน แต่ของเรามันมี คนที่ทำบุญกุศลมีมหาศาลเลย แต่เราอดเพื่อจะให้กาฝากมันผอมลง เราไม่ได้อดเพื่อจะทำลายหัวใจเรา

อด เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดมา ๔๙ วัน กำลังอันนี้เป็นกำลังสมาธิ เวลาย้อนกลับไปวิปัสสนา เพราะฐานมันมั่นคง ทุกอย่างมั่นคงหมดแล้ว ทุกอย่างพร้อมหมดเลย ทุกอย่างเห็นไหม เราจะสร้างบ้าน อุปกรณ์กองอยู่เต็มหมดเลย แต่ช่างมันไม่เป็น เวลาอุปกรณ์มันกองอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอทำเป็นขึ้นมานี่ ประกอบขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเรือน สวยงามมาก

พอสวยงามมาก ทีนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็วางธรรมและวินัย ถ้าอดอาหารไว้อวดกัน อดอาหารไว้ให้เพื่อเรียกร้องศรัทธา ปรับอาบัติทุกกฎทุกกิริยาเคลื่อนไหว แต่ถ้าอดเพื่อเป็นวิธีการแก้กิเลส ตถาคตอนุญาต ในวินัยมี ห้ามไว้สำหรับคนโง่ ห้ามไว้สำหรับคนที่อดเพื่อจะทำลายตนเอง อดเพื่อมีเล่ห์เหลี่ยม แต่ถ้าอดเพื่ออดนอนผ่อนอาหาร อดเพื่อชำระไอ้กาฝากนี้ ตถาคตอนุญาต เห็นไหม

เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจตามหลักการแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงวางธรรมอันนี้ไว้เป็นธรรมและวินัยให้เราก้าวเดิน เราถ้ามีศรัทธา มีความเชื่อ เราทำได้ เราไปวัดไปวา วัดใจของเรา ข้อวัตรปฏิบัติ ดูข้อวัตรสิ ถ้าพระดี ทุกอย่างจะอยู่ในระเบียบเรียบร้อย ถ้าพระไม่ดีนะ สิ่งนั้นมันบอก เห็นไหม บอกเลยว่าทิ้งๆ ขว้างๆ คนไม่รู้จักดูแลรักษา คนไม่รู้จักดูแล แล้วธรรมวินัยก็สอนไว้แล้วนะ กิจของสงฆ์ทำอะไรบ้าง กวาดลานเจดีย์ รักษาสิ่งที่เป็นของสงฆ์

แล้วนี่กิจของสงฆ์ก็ไม่ทำ ไปทำแต่กิจของคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ของเขาก็ชวนคฤหัสถ์เขามาวัด ไอ้พระตัวเองก็ไม่ทำอะไรเลย เข้าวัดไปวัดตรงนั้น วัดใจ แล้วเราก็วัดใจของเรา เห็นไหม นี่ข้อปฏิบัติ เราจะทำของเราได้ขนาดไหนเป็นสมบัติของเรานะ ลงทุนลงแรงขนาดไหน เหงื่อไหลไคลย้อยนี่ของเราทั้งนั้น เพราะอะไร? เพราะใจเป็นคนทำ ถ้าใจไม่ศรัทธา มันออกไปตากแดดตากฝนไม่ได้ ถ้าใจมันศรัทธานะ ตากแดดตากฝนขนาดไหนมันทำได้หมด ใจนี่เป็นเพชร

ถ้าใจเป็นเพชรนะ งานสำเร็จได้หมดเลย ถ้าใจอ่อนแอนะ ยังไม่ทำงานเลย มันล้มตั้งแต่จะลุกขึ้นนั่งแล้ว มันทำไม่ได้หมดเลย ถ้าใจอ่อนแอทำอะไรไม่ได้ ถ้าใจเข้มแข็ง เห็นไหม นี่มันเปรียบเหมือนรถไง รถเข้มแข็ง รถกำลังมาก รถกำลังน้อยอยู่ตรงนี้ เวลาบอกรถเราไม่เห็นดีเลย ของเขานี่กำลังของเขามหาศาลเลย ก็กำลังของเขามหาศาลเขาสร้างของเขามา แล้วรถของเรา เราไม่ได้สร้างอะไรเรามาเลย แล้วพอขึ้นไปบนถนนจะให้รถเราเหมือนเขา ก็เราไม่ได้ทำอะไรมา เวลาทำอะไรมาก็เหงื่อไหลไคลย้อยนี่ไง มันเป็นบุญกุศลของเรา เห็นไหม

งานอย่างนี้ ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อแล้วทำถูกต้อง จะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าทำไม่ถูกต้องนะ อลัชชี! ผู้ที่หน้าด้าน ไม่ละอายในธรรมและวินัย ไปส่งเสริมอย่างนั้น รถเรายิ่งชำรุดทรุดโทรมไปอีกมหาศาล ในศาสนานี้ศาสนาแห่งปัญญา เขาโคและขนโค เขาโคนี่จะเป็นประโยชน์มาก ขนโคนี่มีมหาศาลเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องแสวงหาของเรา เราต้องมีปัญญาของเรา ทำอะไรมีปัญญาใคร่ครวญ มีปัญญาก็สังเกตเห็นหมดแหละ ความลับไม่มีในโลก ถ้ามีสติมีปัญญา เราเพ่งดูอยู่ เราใช้ปัญญาใคร่ครวญอยู่จะเห็นหมด ศีลจะรู้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ด้วยกัน ธรรมจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อแสดงออกมา เห็นไหม อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา คบอย่างนี้แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา หมายถึงเริ่มต้น

แต่ถ้าเราทำดีขึ้นมา เราจะได้รถขึ้นมาคันงามๆ รถที่แข็งแรง แล้วเราประพฤติปฏิบัติไป ตามกฎจราจร เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เข้าเลนส์ซ้ายเลนส์ขวาให้ถูกต้อง ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ ปัญญาชอบ ต่างๆ ขึ้นมานี่ มันจะเข้าตามเลนส์ตามตรอกซอกซอย จนเข้าไปถึงธรรม ธรรมของเรา

พาหนะเครื่องดำเนินวิธีการ วิธีการคือเครื่องดำเนิน ผลที่จะเกิดจากใจของเรา เป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตังในหัวใจของเรา เห็นไหม นี่ชนะตน โลกเขามีสมบัติกันชนะกันจากภายนอก ธรรมชนะตัวเอง ชนะคนอื่นหมื่นแสนสร้างเวรสร้างกรรม ชนะตนนี่สำคัญที่สุด ชนะตนนี่ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พอเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้วเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร จะเป็นที่นกกาอาศัย จะเป็นที่พึ่งของโลกได้

ถ้าตนยังพึ่งไม่ได้เลย อยู่กันแบบโลกๆ ธรรมแห้งผาก ถ้ามีคุณธรรมขึ้นมานี่ ทำหัวใจเข้มแข็ง เรื่องของโลกนะ เป็นเครื่องอาศัย เรื่องภายนอก สิ่งที่อาศัยมันเท่านั้น เราถึงเลือกเอา ธรรมกับโลก เราอยู่ด้วยกัน ธรรมคือความรู้สึกในหัวใจ โลกคือร่างกายนี่ เราจะรักษาอะไรกัน รักษาสิ่งใดก็ให้มันสมดุล แล้วเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง